ผนังดิน( soil profile ) เรื่องเล็กๆที่ยิ่งใหญ่


ผนังดิน( soil profile )  เรื่องเล็กๆที่ยิ่งใหญ่

          ในการขุดตรวจหรือขุดค้นที่ปราสาทหลุงตะเคียนพอจะได้อะไรที่บอกเรื่องราวของปราสาทได้บ้างระดับหนึ่งแล้ว  ที่น่าสนใจคือผนังดิน  สำหรับคนที่ไม่ใช่นักโบราณคดีก็จะบอกว่าอะไรน่ะ  ดูไม่รู้เรื่องเลยเสียเวลา เอาแม็คโครขุดๆถากๆก็ได้แล้ว  มาเสียเวลาเอาจอบถากให้เรียบๆทำไม  แล้วผนังดินที่ปราสาทหลุงตะเคียนบอกอะไรนักโบราณคดีแบบเราๆบ้างล่ะ

          ในการขุดค้นหรือขุดตรวจพื้นที่หน้าปราสาทหลุงตะเคียน อำเภอห้วยแถลง  จังหวัดนครราชสีมา  ด้านหน้าปราสาทเพื่อศึกษาชั้นทับถมเอาไปประเมินค่างานสำหรับการขุดแต่งในอนาคตด้วยหลุมขนาดกว้าง4 เมตร ยาว5 เมตรลึกประมาณเกือบสองเมตร(ตอนนี้ยังขุดไม่เสร็จ) ที่ขอบหลุมหรือที่นักโบราณคดีเรียกว่าผนังดิน( soil profile ) ได้บอกข้อมูลที่มีคุณค่าเกี่ยวกับแหล่งที่ทำการขุดค้นอย่างมาก  จากความจริงพื้นฐานที่ว่า  ของที่ตกพื้นก่อนจะอยู่ข้างล่าง  ของที่ตกพื้นทีหลังจะอยู่ข้างบน และถ้ามีตกมาอีกก็จะอยู่ข้างบนขึ้นไปเรื่อยๆ  ของที่อยู่บนสุดจะอายุที่ตกลงมาจะน้อยที่สุด  นำไปสู่การศึกษาผนังดินที่พบโดยใช้หลักการนี้

          ปราสาทหลุ่งตะเคียนสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นปราสาทสามหลังบนฐานเดียวกัน  หลุมขุดอยู่ระหว่างปราสาทหลังกลางและปราสาทหลังทิศใต้  เราพบว่า ผนังดินด้านทิศเหนือและใต้ต่างกัน  เนื่องจากผนังด้านทิศเหนือเป็นฐานที่ยื่นออกมาเป็นบันได  จึงไม่มีรายละเอียดมากนัก  แต่ฐานด้านทิศใต้กลับมีรายละเอียดที่บอกถึงการใช้งานและการเสื่อมสภาพได้อย่างชัดเจน  แต่อย่างน้อยเรามั่นใจได้ว่าผนังดินด้านทิศเหนือพบเศษอิฐน้อยมาก  อาจเป็นไปได้ว่าตัวปราสาทหลังกลางไม่น่าจะเป็นอิฐหรือใช้อิฐเป็นองค์ประกอบหลัก  ซึ่งต่างจากปราสาทหลังทิศใต้  และตัวบันไดน่าจะก่อเสริมในภายหลังเนื่องจากระดับบัวคว่ำอยู่สูงกว่าและมีการวางหินที่แยกจากฐานเดิม

          มาดูผนังดินทางด้านทิศใต้กันบ้าง  เราพบว่าชั้นดินด้านนี้มีอิฐปะปนอยู่จำนวนมาก  ผสมกับหินทรายหลากหลายขนาดอยู่ใต้ชั้นดินสีดำ  ใต้ลงไปมีชั้นทับถมของเศษหินทรายที่มีอิฐปนอยู่น้อยมาก  ถัดลงไปอีกเป็นชั้นดินทับถมที่เราไม่พบเศษหินแต่พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหินแบบวัฒนธรรมเขมร  ชั้นถัดไปจากนี้ตอนที่ไปยังขุดไม่ถึงซึ่งน่าจะเป็นชั้นดินใช้งานของโบราณสถาน  ก็บอกได้ในเบื้องต้นว่าปราสาทหลังทิศใต้น่าจะมีอิฐในการก่อสร้างด้วย

          ที่นี้ผนังดินที่นักโบราณคดีพยายามนักหนาที่จะเห็นมันบอกอะไรเราได้บ้าง  เอาแค่การทับถมก่อน  มันบอกเราว่าเมื่ออาคารนี้ถูกทิ้งร้างไป(ซึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  อยากรู้ก็เอาดินไปเข้าแลปหาว่ามันโดนแสงอาทิตย์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร๋) ยังมีคนมาใช้พื้นที่อยู่เพราะพบเศษภาชนะดินเผาเหนือระดับพื้นเดิมของอาคาร   ต่อมามีการพังถลายลงมา(จากสาเหตุอะไรก็ดูสถาพหินโดยละเอียดเอาแต่น่าจะโดนรื้อ)  ต่อมาก็มีการเอาอิฐและหินทรายเกลี่ยทับลงมาอีกชั้นหนึ่งแต่ชั้นดินก็ยังมีการลาดเอียงไปทางตะวันออก    และต่อมาได้มีการนำดิน(ดินสีดำๆ)ที่อยู่ข้างบนสุดมาถมปรับให้เรียบ ซึงน่าจะเกิดจากการก่อสร้างอาคารที่รื้อออกไปก่อนหน้านี้  

          ฉะนั้นในการขุดค้น นักโบราณคดีจึงให้ความสำคัญกับผนังดินและชั้นดินทับถมมากเพราะโบราณวัตถุที่พบในชั้นดินต่างๆจะบอกถึงพัฒนาการทางวัฒนธรรมในพืนที่โบราณสถานได้  บอกได้ว่าอะไรมาก่อน  อะไรมาทีหลัง  เมื่อนำมาเทียบกับโบราณวัตถุที่ไม่ได้พบจากการขุดค้นก็สามารถใช้เป็นหลักฐานในการอธิบายความประกอบได้ส่วนหนึ่ง

           นักโบราณคดีจึงให้ความสำคัญกับชั้นดินที่พบหลักฐานทางโบราณคดีมาก   และให้ความสำคัญกับหลักฐานที่พบในการขุดค้นมากกว่าหลักฐานที่ไปขุดหากันเองหรือที่มีการขุดได้แล้วไปเก็บตามที่ต่างๆโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการทางโบราณคดี   คุณค่าของหลักฐานในทางโบราณคดีจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าจะเป็นเศษหม้อหรือเทวรูปทองคำ   แต่อยู่ที่การพบนั้นได้บันทึกร่องรอยรอบข้างได้ละเอียดเพียงใด  ซึ่งทำให้ในการวิเคราะห์และตีความพัฒนาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีมีคุณค่ามากกว่ามูลค่าสิ่งของที่ตีราคาไว้

นำเสนอโดย

นายกิตติพงษ์  สนเล็ก  ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา


ผู้โพส: gunhotnews
วันที่: 7 ชั่วโมงที่แล้ว
จำนวนคนเข้าชมทั้งหมด:8
หมวด: ความรู้ทั่วไป

 

 

 

 


  แสดงความคิดเห็น
 
 
 
ชื่อ
กรุณากรอกข้อความตามภาพ    *ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ทุกตัวและมีอักษรภาษาไทยผสม 
อัพโหลดรูปที่นี่ และนำโค๊ด HTML Code มาใส่ในข้อความที่ต้องการ