4 เทคนิคลดความตื่นเต้นในการพูดในที่สาธารณะ
4 เทคนิคลดความตื่นเต้นในการพูดในที่สาธารณะ
ต้องบอกก่อนครับว่าเทคนิคเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากที่ผมอ่านจากหนังสือ หรือได้เคยฟังนักพูดเก่ง ๆ เขาเล่าให้ฟังผ่านสื่อต่าง ๆ และได้ทดลองนำมาใช้กับตัวเองแล้วมันใช้ได้ผลดีจริง ๆ เลยอยากนำมาเล่าให้ฟัง
ผมอยากเล่าพื้นหลังของผมสักหน่อย เผื่อบางคนจะได้มีกำลังมากขึ้น คือตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งโตมาอายุขึ้นเลข 3 ผมเป็นคนกลัวในการนำเสนอมากนะครับ
ไม่ใช่แค่ว่าไม่ชอนนะครับ ใช้คำว่ากลัวเลยดีกว่า แต่บังเอิญโชคดีที่ผมเลือกเรียนวิศวะ มันไม่ค่อยมีการนำเสนอสักเท่าไร พอต่อโทวิศวะอีก จะมีก็ตอน update ความก้าวหน้าวิทยานิพนธ์ ก็มือเย็น เหงื่อแตก และก็ตอนสอบจบ แบบท่องแล้วท่องอีก
พอมาเรียน MBA ที่ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นเรียกว่าหลบได้หลบหมดครับ จะให้ผมทำงานอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องการนำเสนอ ขอให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มทำแทน มีบางวิชาที่หลบไม่ได้ เพราะอาจารย์บังคับให้นำเสนอ ผมทำได้แย่มาก ขนาดว่ายืนนำเสนอยังไม่ได้เลย เพราะขาสั่น ต้องนั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์
เอาเป็นว่าแย่ขนาดว่า วิชานั้นเพื่อน ๆ ได้ A กันทุกคน ผมได้ A- คนเดียว ก็น่าจะเป็นเพราะคะแนนการนำเสนอมันแย่มาก ๆ นี่แหละครับ
ตัดภาพมาปัจจุบัน ตอนนี้กลายมาเป็นอาจารย์ และได้มีโอกาสได้รับเชิญไปพูดหลาย ๆ ที่ บางทีก็มีคนฟังหลักพัน ส่วนหลักร้อยนี่ก็ไม่น้อย
จะเรียกว่าเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นตอนมาเป็นอาจารย์นี่แหละครับ คือมันได้พูดทุกวันในชั้นเรียน จากตอนแรกก็เหงื่อแตก กลัวนักศึกษาฟังไม่เข้าใจ ตอนนี้กลับสนุกและอยากพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ตอนนี้อยากจะมาเล่าว่า ถ้าเป็นเวทีใหญ่ ๆ แบบไม่ใช่แค่สอนหนังสือในห้องเรียนล่ะ จะทำอย่างไรให้ไม่ตื่นเต้น
ถึงแม้ว่าผมจะสอนหนังสือมา 20 กว่าปี พูดเวทีใหญ่ ๆ มาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ก็บอกได้เลยว่าก็ยังตื่นเต้นทุกครั้งเวลาจะขึ้นเวทีนะครับ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ตื่นเต้นก่อนขึ้นเวทีมันคือเรื่องปกติเลย
แต่เวลาตื่นเต้น ผมมักจะใช้วิธีเหล่านี้แล้วได้ผลครับ
1. คิดว่าเราจะมาให้ ไม่ใช่มารับ
คือคนตื่นเต้น เพราะชอบคิดว่าเราจะดูดีไหม หรืออย่างน้อย ๆ เราต้องดูไม่แย่ คือโฟกัสมันไปอยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่คนฟัง
อันนี้มีชื่อเรียกเลยนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Spotlight Effect คือเหมือนเราอยู่ใน Spotlight อยู่ตลอดเวลา
อยากจะบอกว่าเอาจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครสนใจเราหรอกครับ เราจะพูดผิดพูดถูก ก็ไม่ได้มีใครจับจ้องเราขนาดนั้น
และถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดคือเราจะมาให้ ไม่ได้มารับ มันยิ่งทำให้เราลดความตื่นเต้นลงไปได้มาก
เวลาผมไปบรรยายเรื่อง OKRs บางที่มีคนฟังหลักพันเลย ผมคิดอยู่ตลอดว่า ผมอยากเขาได้รู้จัก OKRs ถ้าเขารู้จักเรื่องนี้ ชีวิตเขาจะดีขึ้นจริง ๆ องค์กรเขาจะได้ประโยชน์จริง ๆ
แค่คิดแบบนี้ ความตื่นเต้นก็หายไปเยอะเลย คือโฟกัสไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะพูดดีไหม ดูดีไหม แต่อยู่ที่ว่า เรากำลังจะให้สิ่งดี ๆ กับคนอื่น
2. ฝึกซ้อม
มีคำกล่าวว่า Practice makes perfect คือการฝึกซ้อมจะนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบ เอาจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบก็ได้ครับ แค่เราซ้อมบ่อย ๆ ก็พอ
อย่างหัวข้อ OKRs ปกติผมบรรยายสัปดาห์หนึ่งหลายรอบ ผมมี Slide เรื่องนี้ประมาณ 40 Slides เรียกว่าผมจำได้ทุก Slides แบบนี้จะให้พูดที่ไหน ตอนไหน ไม่ต้องดู Slide ก็พูดได้
ยิ่งเรามีชั่วโมงบินนาน ความตื่นเต้นมันจะลดลงเยอะครับ เพราะเราจะเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราพูด แต่ถ้าเป็นมือใหม่ ไม่เคยได้พูดหัวข้อนั้น การซ้อมช่วยได้ครับ
ผมเคยไปพูด TEDx ซึ่งเป็นการพูดใช้เวลา 18 นาที ผมจำได้ว่าผมซ้อมจนผมจำคำพูดทั้ง 18 นาทีได้หมดทุกคำเลย ตอนขึ้นเวที มันเลยพูดได้ไหลลื่น
อีกอย่างผมโชคดีที่ได้ฝึกพูดทุกวันผ่าน Podcast อีกต่างหาก พวกทักษะเหล่านี้ มันก็คล้าย ๆ กีฬาแหละครับ คนที่ซ้อมวิ่งทุกวัน พอไปวิ่งจริง มันก็มักจะวิ่งได้ดีเป็นธรรมดา
3. มองหาผู้สนับสนุนเรา
เวลาขึ้นเวทีใหญ่ ๆ มีคนฟังเป็นร้อยเป็นพัน ผมมักจะมองไปยังผู้ฟัง แน่นอนครับ เรามองได้ไม่ครบทุกคนหรอกครับ แต่เชื่อเถอะครับ จะมีผู้ฟังบางคนที่เขาจะมีท่าทางที่สนับสนุนเรา เช่น ง่าย ๆ เลยเขาจะพยักหน้าตาม หรือ จดเวลาเราพูด
นั่นแหละครับ คนที่ผมมักจะมองไปบ่อย ๆ เราอยู่บนเวทีใหญ่ เขาไม่รู้หรอกว่าเรามองใคร แต่สำหรับเรา พอมองไปเห็นคนที่พยักหน้าเวลาเราพูด หรือจดตาม หรือเวลาเราปล่อยมุกแล้วเขาปรบมือชอบใจ เราจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
อย่าไปมองคนที่นอนหลับ หรือคนที่หน้าตาเคร่งขรึม เพราะบางทีมองแล้ว เราจะรู้สึกแย่หรือบางทีพาลไปคิดเลยเถิดว่าเราพูดแล้วคนฟังไม่เข้าใจหรือน่าเบื่อ มันจะยิ่งเครียดหรือตื่นเต้นหนักเข้าไปอีก
4. คิดว่าคนฟังเป็นเด็กอนุบาล
อันนี้ผมมักจะใช้เวลารู้สึกกดดัน เพราะคนฟังเป็นคนที่รอบรู้มาก ๆ ในเรื่องที่เราพูดครับ ผมเคยไป Present Paper งานวิจัยในต่างประเทศ ยากอันดับแรกคือภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย แต่ที่รู้สึกประหม่ามาก ๆ คือคนฟังคือ Professor ดัง ๆ ที่เราอ้างอิงงานวิจัยเขาใน Paper เรานี่แหละ
ใช้ข้อที่ 1 ก็แล้วว่าเราจะมาให้ ก็เอาไม่อยู่ เพราะคนฟังเขาเก่งกว่าเรา เราจะให้อะไรเขาได้ (แต่เอาจริง ๆ เราก็ให้ได้แหละครับ ถ้างานวิจัยเราไม่มีคุณค่า Professor เขาไม่มาฟังเราหรอก) ส่วนซ้อมนี่เราก็ทำมาแล้ว ส่วนการมองหาผู้สนับสนุน บางที Professor เหล่านี้เขานั่งฟังเงียบ ๆ ครับ หน้าตาเคร่งขรึมกันทั้งนั้น
สุดท้ายผมคิดแบบนี้ครับ จินตนาการว่าทุกคนในห้องที่ฟังผมอยู่เป็นเด็กอนุบาลหมด เหมือนผมกำลังเล่าสิ่งที่ผมทำให้เด็กอนุบาลฟัง ใช่ครับ ผมรู้ว่าความจริงมันไม่ใช่ เขาเก่งกันสุด ๆ ทั้งนั้น แต่ด้วยวิธีคิดนี้มันทำให้ผมลดความตื่นเต้นลงได้เยอะ
ไม่รู้ว่าจะ Work สำหรับท่านอื่น ๆ ด้วยหรือไม่นะครับ แต่คิดขึ้นได้ว่าอยากเขียนเรื่องนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ ถ้าท่านมีเทคนิคอะไรต่างจากนี้แล้วใช้ได้ผล มาแบ่งปันกันได้นะครับ
บทความทั้งหมดเขียนเรียบเรียงโดยคุณ Nopadol Rompho
![]() |
10 เม.ย. |+2015| 21:10 |
![]() |
08 ต.ค. |+2016| 16:52 |
![]() |
19 พ.ค. |+2016| 23:09 |
![]() |
26 มี.ค. |+2019| 09:48 |
![]() |
07 มี.ค. |+2025| 03:52 |
จำนวนคอมเม้น: 0ยังไม่มีความคิดเห็น